รู้จัก “ตาลปัตร” ที่พระสงฆ์ใช้ถือเวลาสวด

รู้จัก “ตาลปัตร” ที่พระสงฆ์ใช้ถือเวลาสวด

“ตาลปัตร” หรือในบางแห่งเรียกกันว่า ตาลิ-ปัตร มาจากคำสองคำว่า ‘ตาล’ ซึ่งเป็นชื่อต้นไม้ประเภทปาล์มชนิดหนึ่ง มีใบใหญ่ รวมกับคำว่า ‘ปัตร’ แปลว่า ใบ เมื่อรวมกัน “ตาลปัตร” จึงมีความหมายว่า ใบตาล ถึงแม้ต่อมาภายหลังจะมีการใช้ใบของต้นลาน ซึ่งเป็นไม้ประเภทปาล์มเช่นเดียวกับต้นตาล แต่เราก็ยังคงเรียกว่า “ตาลปัตร” กันเช่นเดิม
ใบตาลนี้เองเป็นศิลปะชาวบ้านในสมัยก่อนพุทธกาลในอินเดียและลังกา มีการนำมาตัดแต่งเป็นพัดโดยใช้เส้นหวายจักหรือตอกไม้ไผ่ และประกอบเข้ากับกรอบ โดยเย็บติดกับขอบใบ เพื่อป้องกันใบแตกหรือฉีก และใช้พัดโบกลมหรือบังแดด ในศาสนาพุทธพระสงฆ์ได้นำพัดใบตาลที่ชาวบ้านทำขึ้นมาใช้ในเวลาแสดงธรรมด้วย

“ตาลปัตร” ในปัจจุบัน

“ตาลปัตร” ที่เราพบเห็นในปัจจุบันมีลักษณะปกติคือ ตัวพัดที่มีรูปร่างคล้ายกับวงกรอบรูปไข่ มักเรียกว่า "พัดหน้านาง" ด้านบนของพัดมีความกว้างและความยาวที่มากกว่าด้านล่างเล็กน้อย พื้นพัดทำจากผ้าชนิดต่าง ๆ และอาจมีการปักตกแต่งเพื่อเพิ่มความสวยงาม ตรงกลางของกรอบพัดด้านล่างมีด้ามยาวประมาณ ๗๐ เซนติเมตร
"ตาลปัตร" ชนิดนี้ยังเรียกอีกอย่างว่า "พัดรอง" ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พัดรองถูกสร้างขึ้นโดยใช้โครงไม้ไผ่และผ้าแพรเป็นวัตถุดิบหลัก พร้อมหุ้มทั้งสองด้านด้วยผ้าโหมด ซึ่งเป็นผ้าชนิดหนึ่งที่ใช้กระดาษเงินหรือกระดาษทองพันเส้นไหมทอกับไหมสี พัดรองนี้ได้ถูกใช้แทนพัดใบตาลที่มีลักษณะงองุ้ม และเรียกว่า "พัดรอง" ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสมัยที่มีการสร้างพัดรองมากที่สุด โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกล้าฯ ให้จัดทำเพื่อใช้ในพระราชพิธีต่าง ๆ เป็นที่ระลึกในงานพระราชพิธี ในปัจจุบันเรามักทำพัดรองเพื่อถวายพระสงฆ์และเป็นที่ระลึกในงานต่าง ๆ รวมถึงงานศพด้วย พื้นพัดบางครั้งยังถูกปักตกแต่งเป็นรูปสัญลักษณ์ของงานหรือปักอักษรหรือข้อความที่เกี่ยวข้องกับงานนั้น ๆ

พระสงฆ์ใช้ “ตาลปัตร” ทำพิธีอะไร

การใช้ “ตาลปัตร” เป็นส่วนหนึ่งของพิธีและขั้นตอนในศาสนาพุทธ ซึ่งพระสงฆ์จะใช้ “ตาลปัตร” เมื่อถึงขั้นตอนหรือพิธี ดังต่อไปนี้
๑. เมื่อให้ศีลแก่อุบาสกอุบาสิกา ท่านจะตั้ง “ตาลปัตร” แล้วให้ศีล และเมื่อจบคำสรุปศีลก็จะวาง “ตาลปัตร” หรือปักไว้ที่ขาตั้งเดิมที่อยู่ด้านหลังของท่าน เพื่อบ่งบอกขั้นตอนของศาสนพิธีว่าท่านกำลังให้ศีล
๒. เมื่อมีการเจริญพระพุทธมนต์ พระรูปที่ ๓ จะตั้ง “ตาลปัตร” และขัดบทชุมนุมเทวดา ซึ่งเรียกว่า "ขัดสัคเค" หมายถึง ท่านรูปนั้นกำลังเชิญเทวดาให้มาร่วมฟังพระปริตรที่พระสงฆ์กำลังสวดในขณะนี้ หลังจากท่านขัดเสร็จแล้ว จะวางหรือปักไว้ที่ขาตั้ง เพื่อบ่งบอกว่าท่านกำลังเจริญพระพุทธมนต์หรือพระปริตรในขณะนั้น
๓. เมื่อท่านให้พร ซึ่งจะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของพิธีกรรม พระที่เป็นประธานจะตั้ง “ตาลปัตร” และสวดว่า "ยถา วาริวะหา" หรือบางครั้งก็ตั้ง “ตาลปัตร” ในทุกรูปแบบ (อย่างไรก็ตาม สำหรับบางวัดหรือบางพิธีอาจมีการตั้ง “ตาลปัตร” เพียงรูปแรกเท่านั้น) ในขณะที่อุบาสกอุบาสิกาจะเริ่มกรวดน้ำและหยั่งน้ำให้หมดเมื่อท่านสวดจบบทนี้ สังเกตได้ว่าเมื่อท่านสวดจบบทนี้ พระรูปถัดไปจะเริ่มสวดรับพรพร้อมกันและท่านทั้งหมดจะสวดพร้อมกันไปเรื่อยๆ ซึ่งบ่งบอกว่าท่านกำลังประสาทพรแก่เรา
๔. เมื่อท่านพิจารณาผ้าบังสุกุลในงานอวมงคลหรืองานศพ ท่านจะตั้ง “ตาลปัตร”  หรือในกรณีที่อยู่บนเมรุหรือจิตรกาธาน (ที่เผาศพ) ท่านก็จะยืนถือ “ตาลปัตร” ด้วยมือซ้าย (เฉพาะชักผ้าบังสุกุลเท่านั้นที่ท่านถือ “ตาลปัตร” ด้วยมือข้างซ้าย) และจับผ้าบังสุกุลด้วยมือขวา พร้อมกับออกเสียงคำพิจารณาผ้า (บทว่า อะนิจจา วะตะ สังขารา เป็นต้น) เมื่อกล่าวเสร็จแล้ว ท่านจึงชักผ้ามาใช้ได้ ขั้นตอนนี้บ่งบอกว่าท่านกำลังพิจารณามรณานุสสติหรืออสุภกรรมฐาน และเรียกว่า "การชักผ้าบังสุกุล”
๕. เมื่อท่านพิจารณาผ้าป่าหรือเรียกว่า "ผ้าบังสุกุล" การถวายผ้าป่าสามารถทำได้ทุกฤดูกาล หลังจากทายกทายิกาและกล่าวคำถวายเรียบร้อยแล้ว ประธานสงฆ์หรือท่านที่ได้รับมอบหมายจะตั้ง “ตาลปัตร” ด้วยมือซ้าย และจับผ้าด้วยมือขวา พร้อมกล่าวคำพิจารณาผ้า (เช่น อิมัง ปังสุกูละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ) จากนั้นท่านจะชักผ้า หมายความว่าท่านกำลังพิจารณาผ้าเป็นของตนเอง และเรียกว่า "การชักผ้าบังสุกุล" เช่นเดียวกัน